วันฮาโลวีน ไม่ได้เป็นเพียงเทศกาลสนุกสนานสำหรับเด็กๆ ที่จะแต่งตัวเป็นผีหรือไปขอขนมเท่านั้น แต่ยังมีความหมายทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ลึกซึ้ง พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถใช้โอกาสนี้แบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจกับลูกๆ เพื่อให้เค้าได้เข้าใจถึงความหมายของเทศกาลนี้กันมากยิ่งขึ้นค่ะ จะมีอะไรบ้าง? ไปติดตามอ่านกันได้พร้อมๆกันเลยค่า 😊
1. ต้นกำเนิดมาจากชาวเซลต์
ต้นกำเนิดของวันฮาโลวีนนั้นย้อนกลับไปถึงยุคโบราณในดินแดนของชาวเซลต์ (Celtic) ที่อยู่ในไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศสบางส่วน เทศกาล “Samhain” (ออกเสียงว่า “ซอว์-อิน”) จัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมและเริ่มต้นฤดูหนาว ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดปีเกษตรกรรมและเริ่มต้นครึ่งปีที่มืดมน ชาวเซลต์เชื่อว่าในคืนวันที่ 31 ตุลาคม ม่านที่กั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกแห่งวิญญาณจะบางลง ทำให้วิญญาณสามารถเดินทางกลับมายังโลกได้ในช่วงเวลานี้
ในเทศกาลนี้ ชาวเซลต์จะจุดกองไฟใหญ่เพื่อปัดเป่าภูติผีและวิญญาณร้าย รวมถึงแต่งตัวในชุดที่ดูน่ากลัว เช่น สวมหนังสัตว์หรือหน้ากาก เพื่อให้ดูเหมือนเป็นภูติผีหรือวิญญาณเอง โดยเชื่อว่าจะช่วยขับไล่หรือหลอกวิญญาณไม่ให้รบกวนพวกเขา นอกจากนี้ยังมีการทำพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทำนายอนาคตหรือโชคชะตาของชุมชน การนำอาหารและเครื่องดื่มมาเซ่นไหว้ให้กับวิญญาณของบรรพบุรุษก็เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในเทศกาล Samhain ซึ่งเชื่อว่าช่วยให้พืชผลงอกงามในปีถัดไป
เมื่ออิทธิพลของคริสต์ศาสนาเริ่มเข้ามาในพื้นที่นี้ เทศกาล Samhain ถูกดัดแปลงและผสมผสานกับประเพณีของคริสต์ศาสนา จนกลายเป็น “All Saints’ Day” หรือ “วันนักบุญ” ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน เรียกว่า “All Hallows’ Eve” ในค่ำคืนก่อนหน้า และพัฒนามาเป็นคำว่า “Halloween” ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
การผสมผสานความเชื่อโบราณของชาวเซลต์และคริสต์ศาสนาได้กลายเป็นจุดกำเนิดของเทศกาลที่เน้นการแต่งตัวและปัดเป่าวิญญาณร้าย ซึ่งสืบทอดต่อมาเป็นวันฮาโลวีนที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน โดยกิจกรรมที่นิยมทำกันอย่างการแต่งตัวแฟนซี จุดเทียนในโคมฟักทอง หรือแม้กระทั่งการเล่าเรื่องผีและการให้ขนมล้วนมีรากฐานมาจากประเพณีและความเชื่อโบราณเหล่านี้
2. ที่มาของ Jack-O’-Lantern
การแกะสลักฟักทองเป็นรูปหน้าผีหรือที่เรียกว่า “Jack-O’-Lantern” มีต้นกำเนิดมาจากนิทานพื้นบ้านของชาวไอริชในตำนานเกี่ยวกับชายคนหนึ่งชื่อว่า “Stingy Jack” หรือ “Jack the Smith” ชายผู้นี้เป็นที่รู้จักว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์และขี้โกง ครั้งหนึ่งเขาหลอกให้ปีศาจมาดื่มกับเขา โดยหลอกให้ปีศาจแปลงร่างเป็นเหรียญเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเหล้า แต่แทนที่จะแปลงเหรียญคืน เขากลับเก็บเหรียญนั้นไว้พร้อมกับกางเขนเงินซึ่งขัดขวางไม่ให้ปีศาจกลับคืนร่างเดิมได้ ในที่สุด Jack ปล่อยปีศาจไปโดยแลกกับการที่ปีศาจต้องสัญญาว่าจะไม่รับวิญญาณของเขาเมื่อเขาตาย
เมื่อ Jack เสียชีวิต วิญญาณของเขาไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้เนื่องจากการกระทำบาปที่มากมาย และปีศาจก็ไม่สามารถพาเขาไปยังนรกได้ตามสัญญา Jack จึงถูกทิ้งให้เป็นวิญญาณเร่ร่อน ปีศาจมอบถ่านร้อนให้เขาเพื่อใช้เป็นแสงส่องทางในความมืด Jack จึงนำถ่านนี้ใส่ในหัวผักกาดแกะสลักกลวง เพื่อให้แสงลอดออกมาและใช้เป็นตะเกียงนำทางในความมืดมิด ว่ากันว่าหลังจากนั้น ชาวไอริชเริ่มทำตะเกียงจากหัวผักกาดและวางไว้ที่หน้าบ้านในคืนฮาโลวีนเพื่อขับไล่วิญญาณร้ายหรือขอร้องให้วิญญาณของ Jack อยู่ห่างจากพวกเขา
เมื่อชาวไอริชอพยพมายังอเมริกา พวกเขาพบว่าฟักทองมีขนาดใหญ่กว่าและแกะสลักง่ายกว่าหัวผักกาด จึงเปลี่ยนมาใช้ฟักทองเป็น Jack-O’-Lantern แทน โดยฟักทองที่ถูกแกะสลักเป็นหน้าผีที่น่ากลัวและวางเทียนไว้ข้างในกลายเป็นสัญลักษณ์หลักของเทศกาลฮาโลวีนในสหรัฐฯ และแพร่กระจายไปทั่วโลก กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของฮาโลวีนที่เราเห็นในปัจจุบัน ทั้งในบ้านเรือนและการประดับตกแต่ง
3. ทำไมต้องเป็นสีส้มและดำ?
สีส้มและสีดำกลายเป็นสีหลักของเทศกาลฮาโลวีนเนื่องจากการผสมผสานระหว่างความหมายทางธรรมชาติและวัฒนธรรมโบราณที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลและการเฉลิมฉลองของชาวเซลต์ดั้งเดิม สีส้มเป็นตัวแทนของการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงและสิ้นสุดวงจรการเติบโตของพืชผล ขณะที่สีดำสื่อถึงความมืด ความลึกลับ และการเริ่มต้นฤดูหนาว ซึ่งในยุคโบราณเป็นช่วงเวลาที่มืดมนและท้าทาย
สีส้ม: สัญลักษณ์ของชีวิตและการเก็บเกี่ยว
สีส้มเชื่อมโยงกับฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวของชาวเซลต์ ในช่วงปลายปีเมื่อพืชผลเริ่มเหี่ยวเฉาและเก็บเกี่ยวพืชผลที่เพาะปลูกมาตลอดทั้งปี ชาวเซลต์จุดกองไฟและใช้สัญลักษณ์ของสีส้มเพื่อแสดงถึงความอบอุ่น ความอุดมสมบูรณ์ และความเจริญรุ่งเรือง สีส้มยังเป็นสัญลักษณ์ของความมีชีวิตและพลังงานที่เปล่งประกายกลางธรรมชาติในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ ซึ่งสอดคล้องกับฟักทองที่เป็นสัญลักษณ์หลักในเทศกาลฮาโลวีนของปัจจุบัน ฟักทองเองก็เป็นพืชผลที่มักเก็บเกี่ยวในช่วงนี้และมีสีส้มสดใส กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเฉลิมฉลองนี้โดยอัตโนมัติ
สีดำ: สัญลักษณ์ของความมืดและการสิ้นสุด
ขณะที่สีส้มแสดงถึงชีวิต สีดำสื่อถึงความลึกลับและความมืดที่เข้ามาแทนที่เมื่อฤดูหนาวเริ่มต้น ซึ่งในวัฒนธรรมโบราณมักมองว่าเป็นช่วงเวลาที่น่ากลัวและเต็มไปด้วยสิ่งลึกลับ สีดำยังแสดงถึงการสิ้นสุดของชีวิตที่เกี่ยวข้องกับฤดูใบไม้ร่วงและการเข้าสู่ช่วงแห่งความเงียบสงบในฤดูหนาว ในความเชื่อของชาวเซลต์และในประเพณี Samhain นั้น ช่วงนี้เป็นเวลาที่โลกของคนเป็นและคนตายเชื่อมโยงกันได้ ทำให้สีดำมีบทบาทในการแสดงถึงวิญญาณและความตายที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ สีดำยังช่วยเสริมบรรยากาศลึกลับและน่ากลัวซึ่งเหมาะกับเทศกาลฮาโลวีน
การรวมกันของสีส้มและดำ: การเฉลิมฉลองชีวิตและความลึกลับ
สีส้มและสีดำจึงสร้างบรรยากาศเฉพาะสำหรับเทศกาลฮาโลวีนที่ทั้งดึงดูดและลึกลับในเวลาเดียวกัน สีส้มดึงดูดเด็กๆ และเสริมให้เทศกาลนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ขณะที่สีดำเพิ่มความลึกลับและทำให้เทศกาลนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความกลัวเบาๆ ที่ผู้คนมักจะเพลิดเพลินกัน โดยทั้งสองสีสะท้อนถึงการเฉลิมฉลองความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในช่วงฤดูนี้ และช่วยให้เทศกาลฮาโลวีนมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากเทศกาลอื่นๆ
สีส้มและดำจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สีสำหรับการตกแต่งเท่านั้น แต่มีความหมายทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงวิถีชีวิต ความเชื่อ และการเปลี่ยนผ่านของธรรมชาติที่ถูกสืบทอดมาในประเพณีนี้
4. Trick or Treat เริ่มอย่างไร?
ประเพณี Trick or Treat มีต้นกำเนิดจากประเพณี “souling” ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 9 ซึ่งในยุคกลาง คนยากจนจะเดินไปตามบ้านเพื่อขอ soul cakes หรือขนมปังแห่งวิญญาณ โดยแลกกับการสวดมนต์ให้วิญญาณของผู้ล่วงลับ เชื่อกันว่าขนมนี้ช่วยให้วิญญาณไปสู่สวรรค์ได้ ทำให้ผู้คนมอบขนมเพื่อเป็นการทำบุญและเสริมสร้างความสงบให้กับวิญญาณในคืนแห่งความลึกลับนี้
เมื่อประเพณีนี้แพร่หลายเข้าสู่สหรัฐอเมริกาผ่านชาวไอริชและสก็อตในศตวรรษที่ 19 พิธี souling ได้ปรับเปลี่ยนเป็นการแต่งตัวแฟนซีและขอขนมอย่างสนุกสนาน เด็กๆ จะเดินไปเคาะประตูบ้านในคืนวันฮาโลวีนและพูดว่า “Trick or Treat” เพื่อขอขนมหวาน โดยเจ้าของบ้านจะตอบรับเพื่อป้องกันการเล่นแผลงๆ ของเด็กๆ ทำให้กิจกรรมนี้กลายเป็นส่วนสำคัญของเทศกาลฮาโลวีนที่เด็กๆ รอคอยทุกปี
ในปัจจุบัน Trick or Treat เป็นกิจกรรมหลักของวันฮาโลวีน เด็กๆทั่วโลกต่างสนุกสนานกับการแต่งตัวแฟนซีและเดินขอขนมจากเพื่อนบ้าน ซึ่งนอกจากความสนุกแล้ว ยังเป็นการสืบสานประเพณีที่มีมาอย่างยาวนาน เชื่อมโยงกับความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับวิญญาณและการทำบุญในโลกหลังความตาย
5. ทำไมต้องแต่งตัวเป็นผี?
การแต่งตัวเป็นผีในวันฮาโลวีนมีที่มาจากความเชื่อของชาวเซลต์โบราณในเทศกาล Samhain ซึ่งจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนตุลาคมเพื่อเฉลิมฉลองการสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวและต้อนรับฤดูหนาว เชื่อกันว่าในคืน Samhain ม่านระหว่างโลกของคนเป็นและคนตายจะบางลง ทำให้วิญญาณต่างๆ สามารถเดินทางมายังโลกได้ ผู้คนจึงแต่งตัวในชุดน่ากลัวที่คล้ายกับผีเพื่อขับไล่และหลอกลวงวิญญาณเหล่านั้นไม่ให้มารบกวน เพราะวิญญาณจะคิดว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน
เมื่อประเพณีนี้เข้าสู่อเมริกาผ่านการอพยพของชาวไอริชและสก็อต การแต่งตัวก็ได้รับการดัดแปลงให้สนุกสนานมากขึ้น เด็กๆ เริ่มแต่งตัวเป็นตัวละครหลากหลายทั้งผี ภูตปีศาจ และตัวละครจากนิทาน ทำให้เทศกาลฮาโลวีนกลายเป็นวันที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน มีสีสัน และมีเสน่ห์ที่ดึงดูดใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลกในปัจจุบัน
วันฮาโลวีนเต็มไปด้วยประเพณีที่น่าสนใจและมีรากฐานทางประวัติศาสตร์ยาวนานที่สามารถเล่าให้เด็กๆฟังได้ เพื่อเสริมความรู้ เช่น เทศกาล Samhain หรือ ตำนาน Jack-O’-Lantern จากชายที่ชื่อ Stingy Jack ซึ่งใช้หัวผักกาดเป็นตะเกียงนำทางก่อนจะกลายเป็นการแกะฟักทองในอเมริกา เป็นต้น เทศกาลฮาโลวีนจึงเป็นมากกว่าแค่เทศกาลแห่งความสนุกสนาน แต่ยังเป็นการสืบทอดเรื่องราวและความเชื่อโบราณที่น่าสนใจอีกด้วยค่ะ 🥰
ข้อมูลในบทความนี้อ้างอิงมาจากแหล่งที่มาดังต่อไปนี้:
- History.com – History-of-halloween
- National Geographic – The history of trick-or-treating
- Britannica – Halloween
แล้วก็มาถึง *Secret Code* ที่ทุกคนตามหา อยู่นี่แล้วค่ะ 👇 (แตะค้างและเลือก Copy ได้เลยนะคะ)
halloween2024
แชร์บทความนี้
เพราะการแบ่งปันคือความห่วงใยที่เรามีให้กัน…(เลือกแชร์บทความให้เพื่อนได้โดยกดปุ่มด้านล่างนี้เลยค่ะ)
บทความอื่นที่เกี่ยวข้องกับ
โรคไอกรน: อาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันที่ควรรู้
ฟันผุที่ไม่ได้รักษา…อาจส่งผลต่อหัวใจและสุขภาพ
รู้ทันสัญญาณเตือน สาเหตุ วิธีรักษา และแนวทางการป้องกันฟันล้ม
“ฟันล้ม” เป็นปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นกับคนที่เคยจัดฟันแต่ไม่ใส่รีเทนเนอร์ตามที่ทันตแพทย์แนะนำ จนทำให้ฟั…