มารู้จักรากฟันเทียมกันเถอะ

มารู้จัก รากฟันเทียม กันเถอะ !!!

รากฟันเทียม คืออะไร?

รากฟันเทียม จัดอยู่ในประเภทฟันปลอมชนิดติดแน่น และด้วยวิทยาการทางการรักษาทางทันตกรรม รากฟันเทียมก็ได้ถูกพัฒนามาเรื่อยๆ เพื่อมาช่วยให้การใส่ฟันนั้นมีประสิทธิภาพขึ้น โดยสามารถใช้รากฟันเทียมเพื่อใส่ฟันปลอมได้ตั้งแต่ 1 ซี่ขึ้นไป หรือ จะใช้เป็นหลักยึดให้กับฟันปลอมถอดได้ในบางกรณี ผลสำเร็จในการรักษาที่ค่อนข้างสูงนี้ และความหลากหลายของยี่ห้อรากเทียมในตลาด ทำให้ทันตกรรมรากเทียมเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ

ผลจากการสูญเสียฟันธรรมชาติ ไม่เพียงแต่ทำให้การบดเคี้ยวอาหารด้อยลง มีปัญหาการพูดการออกเสียง แต่ยังส่งผลถึงการขาดความมั่นใจและความสวยงาม การใส่ฟันเพื่อทดแทนจึงมีความสำคัญ เมื่อเราพูดถึงฟันปลอม ใครหลายๆคนอาจจะนึกไปถึงฟันปลอมถอดได้มีเหงือกสีชมพูที่คุณปู่ คุณย่าของเราใส่กัน ซึ่งจริงๆแล้วงานทางด้านการใส่ฟันเราสามารถแบ่งฟันปลอมได้อยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ฟันปลอมชนิดถอดได้ และ ฟันปลอมชนิดติดแน่น

ส่วนประกอบหลักและการทำงานของ รากฟันเทียม

รากฟันเทียม หรือที่เรามักเรียกกันว่า รากเทียม นั้นก็คือวัสดุรูปร่างคล้ายฟันทำมาจากโลหะไทเทเนียม (Titanium Implant) หรือกลุ่มของ Metal free คือเซรามิก (Ceramic Implant) ซึ่งทั้ง 2 ชนิดเป็นวัสดุที่เข้ากับเนื้อเยื่อของมนุษย์ได้ดี โดยจะฝังรากฟันเทียมลงใน
กระดูกขากรรไกร

รากฟันเทียม ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักสำคัญ คือ

  1. รากเทียม (Implant Fixture) เป็นส่วนที่ฝังอยู่ในกระดูก มีลักษณะคล้ายนอตหรือสกรู เพื่อทำหน้าที่คล้ายกับรากฟันทำธรรมชาติเมื่อรากเทียมยึดติดกับกระดูก
  2. หลักยึดสำหรับครอบฟัน (Abutment) เป็นส่วนเชื่อมต่อระหว่างรากเทียม (Implant Fixture) และครอบฟัน (Crown) มีหน้าที่ยึดติดกับรากเทียมให้แน่นเพื่อรองรับครอบฟัน เป็นส่วนที่อยู่ติดกับเนื้อเยื่อเหงือกของเรา
  3. ครอบฟัน (Crown) เป็นส่วนที่อยู่เหนือเหงือก รูปร่างและสีเลียนแบบตามลักษณะของฟันธรรมชาติซี่นั้นๆ โดยจะทำจากวัสดุเซรามิก หรือโลหะก็ได้ ทำหน้าที่รับแรงบดเคี้ยวอาหาร
ส่วนประกอบของ รากฟันเทียม

ขั้นตอนการฝัง รากฟันเทียม และใส่ครอบฟัน

เมื่อผู้ป่วยที่สูญเสียฟันธรรมชาติและมีแผนการรักษาโดยการใส่ฟันปลอมทดแทน แบบรากฟันเทียม เราอาจจะแบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนใหญ่ๆ ได้แก่

ขั้นที่ 1

  • การตรวจสุขภาพช่องปากและฟันพิมพ์ปากเพื่อเอาไปทำโมเดลฟัน ใช้วางแผนกำหนดตำแหน่งการฝังรากเทียมอย่างเหมาะสม
  • การถ่ายภาพ x-ray ทั้งในและนอกช่องปาก
  • CT scan เพื่อประเมินกระดูก,ฟันข้างเคียงและอวัยวะสำคัญบริเวณที่จะฝังรากเทียม

ขั้นที่ 2 : การผ่าตัดฝังรากเทียม

  • การผ่าตัดฝังรากเทียมจะทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ เมื่อฝังเสร็จแล้วจะเย็บปิดแผล รอประมาณ 7-14 วันจึงมาตัดไหมออก
  • บางเคสที่เนื้อเยื่อเหงือกและกระดูกไม่เพียงพอต่อการฝังรากฟันเทียม ทางทันตแพทย์อาจจะต้องปลูกเนื้อเยื่อเหงือกและกระดูกก่อน หรือบางครั้งก็สามารถปลูกกระดูก หรือเหงือกพร้อมกับฝังรากเทียมได้เลย

ขั้นที่ 3 : การใส่ครอบฟัน

หลังจากรอให้รากฟันเทียมยึดติดกับกระดูกแล้วซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน แต่ในบางเคสอาจจะสามารถบูรณะได้เร็วหรือช้ากว่านี้ ทันตแพทย์จะนัดคนไข้มาพิมพ์ปากเพื่อทำครอบฟันที่จะสวมลงบนรากฟันเทียม ซึ่งจะมีวัสดุให้เลือกหลากหลายชนิด เช่น โลหะ เซรามิก เป็นต้น จากนั้นจึงรอชิ้นงานจากแลปเพื่อมาสวมลงบนรากฟันเทียม

ขั้นที 4 : การติดตามผลการรักษา

ผู้ป่วยควรมาตรวจสุขภาพของรากเทียมตามที่ทันตแพทย์นัดหมาย หรือทุกๆ 6-12 เดือน

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดฝังรากฟันเทียม

  • รับประทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามจำนวนที่ทันตแพทย์สั่ง และทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการหากมีอาการปวดร่วมด้วย
  • ประคบเย็นหลังการผ่าตัดเพื่อลดอาการบวม 1-2 วันแรก หลังจากนั้นให้ประคบอุ่น
  • งดการแปรงฟัน 24 ชั่วโมง ควรใช้น้ำยาบ้วนปากแบบฆ่าเชื้อ(ที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์) ร่วมด้วยตามที่ทันตแพทย์สั่งจ่าย
  • ควรรับประทานอาหารอ่อนๆที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองแก่บาดแผล ประมาณ 1 สัปดาห์
  • ห้ามรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้อนจัดหรือเย็นจัดภายในวันแรกหลังการผ่าตัดและหลีกเลี่ยงการบดเคี้ยวบริเวณที่ฝังรากฟันเทียมโดยเฉพาะฟันหน้า
  • ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มมึนเมา
  • ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหลังการผ่าตัด
  • อาการบวมหลังการผ่าตัด 2-3วันแรกเป็นอาการที่พบได้ปกติ แล้วจะค่อยๆลดลง ถ้าหากมีอาการบวมมากผิดปกติ มีการเจ็บปวดหรืออาการเลือดไหลไม่หยุด ให้รีบติดต่อทันตแพทย์ทันที

การดูแลตัวเองหลังใส่ครอบฟัน

ถึงแม้ว่ารากฟันเทียมจะแข็งแรงทนทาน และจะไม่เกิดฟันผุเหมือนกับฟันธรรมชาติ แต่สามารถเกิดโรคเหงือกอักเสบได้ซึ่งถ้าลุกลามรุนแรงก็อาจจะส่งผลให้รากฟันเทียมไม่ยึด ติดกับกระดูก ดังนั้นอายุการใช้งานรากฟันเทียมจึงขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้
ป่วยด้วยเป็นสำคัญ

แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดช่องปากตามปกติ โดยเน้นการทำความสะอาดเหงือกโดยรอบรากฟันเทียม อาจจะใช้ไหมขัดฟัน (Dental floss) หรือไหมขัดฟันชนิดSuperflossร่วมด้วยได้

พบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพช่องปากและรากฟันเทียมเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน

= = = = = = = = = = = = = = = = = =

ทันตกรรมเฉพาะทางสาขาอื่นๆ

= = = = = = = = = = = = = = = = = =

บริการทันตกรรมเด็ก

บริการทันตกรรมเด็ก ด้านอื่นๆ ที่ SmileDC คลินิกทันตกรรมสมายล์ มีให้บริการ ดังต่อไปนี้ค่ะ

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =

= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =